วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ติดมือถือมีผลต่อสุขภาพ

สธ. เตือนติดมือถือมีผลต่อสุขภาพ แนะปรับพฤติกรรม


      กระทรวงสาธารณสุขเตือน เล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาเสี่ยง "โนโมโฟเบีย" หรือ “อาการติดโทรศัพท์มือถือ" มีผลต่อสุขภาพ แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง หากิจกรรมทดแทน

      แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในยุคที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟน กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการติดต่อสื่อสาร แต่บางกลุ่มมีพฤติกรรมติดอยู่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา เช่น พกติดตัว ต้องวางไว้ใกล้ตัวเสมอ รู้สึกกังวลเมื่อมือถือไม่ได้อยู่กับตัวหรือแบตเตอรี่หมด คอยเช็กข้อความจากโซเชียลมีเดีย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยแม้ไม่มีเรื่องด่วน ตื่นนอนจะเช็กโทรศัพท์ก่อนและยังคงเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน ติดเกม หรือในแต่ละวันใช้เวลาพูดคุยกับผู้คนผ่านโทรศัพท์ในโลกออนไลน์มากกว่าพูดคุยกับคนรอบข้าง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นอาการติดโทรศัพท์มือถือ (Nomophobia) และบางรายอาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ หากไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว โทรศัพท์เเบตหมด หรือว่าอยู่ในที่ไร้สัญญาณ





     อาการติดโทรศัพท์มือถือจะส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและสังคม โดยเฉพาะด้านสุขภาพร่างกาย เช่น
           1.นิ้วล็อก เกิดจากการใช้นิ้วกด จิ้ม สไลด์ หน้าจอเป็นระยะเวลานาน
           2.อาการทางสายตา เช่น ตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง เกิดจากเพ่งสายตาจ้องหน้าจอเล็กๆ ที่มีแสงจ้านานเกินไป อาจส่งผลให้วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม 
          3.ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ จากการก้มหน้า ค้อมตัวลง ส่งผล เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากเล่นนานๆ อาจมีอาการปวดศีรษะตามมา รวมไปถึงหมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร  
          4.โรคอ้วน แม้พฤติกรรมจะไม่ส่งผลโดยตรง แต่การนั่งทั้งวันโดยไม่ลุกเดินไปไหน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคเรื่อรังอื่นๆได้


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เล่นโทรศัพท์ โรคอ้วน




     ด้านแพทย์หญิงทิพาวรรณ บูรณสิน สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โนโมโฟเบีย (Nomophobia) มาจากคำว่า "no mobile phone phobia" เป็นศัพท์ที่หน่วยงายวิจัยทางการตลาดขนาดใหญ่ (YouGov) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 2010 ที่ใช้เรียกอาการที่เกิดจากความหวาดกลัว วิตกกังวลเมื่อขาดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งพบมากที่สุด กว่าร้อยละ 70 ในกลุ่มเยาวชน 18-24 ปี รองลงมาคือ กลุ่มคนวัยทำงานช่วงอายุ 25 – 34 ปี และกลุ่มวัยใกล้เกษียณ 55 ปีขึ้นไป ตามลำดับ ในปัจจุบัน ยังไม่ถึงขั้นกำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยโรคหลักทางจิตเวช (DSM 5) เนื่องจากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค พยาธิสภาพทางจิตใจ และ ผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาวยังมีไม่มากพอ






      อย่างไรก็ตาม แนวทางการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนด้วยตนเอง มีหลายวิธี เช่น กำหนดช่วงเวลาในการใช้โซเชียลมีเดียในแต่ละวัน,กำหนดสถานการณ์ที่จะไม่เล่นสมาร์ทโฟน เช่น ขณะเดิน กิน ก่อนนอน ตื่นนอนใหม่ๆ ขับรถ อยู่บนรถโดยสาร เรียน ทำงาน หรือแม้แต่อยู่ในห้องน้ำ ควรหากิจกรรม งานอดิเรก เล่นกีฬากิจกรรมผ่อนคลายในครอบครัวทดแทนเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด


วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การเสพติดสมาร์ทโฟนและโรคซึมเศร้า



รู้หรือไม่ว่าการติดมือถืออาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้า



           เหตุหลักๆ ที่คนเราติดสมาร์ทโฟนเป็นเพราะว่าเราสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งเรื่องงานและเพื่อความบันเทิง แต่ถ้าหากความสะดวกสบายนำไปสู่การติดมือถือและยังสามารถนำไปสู่โรคซึมเศร้าละ คุณจะทำอย่างไร?





สมาร์ทโฟน และสังคม

ทุกคนมีสมาร์ทโฟนติดตัวตลอดเวลา ใช้ติดต่อกับเพื่อนและคนรัก ใช้บันทึกช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ใช้แก้เบื่อและทำให้เพลิดเพลิน ใช้ในการทำงาน ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเวลารู้สึกมืดแปดด้าน และยังมีประโยชน์อื่นๆอีกที่คงจะพูดได้ไม่หมด

สมาร์ทโฟนกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ไม่ว่าจะในวัฒนธรรมใดหรือชุมชนใด แต่สมาร์ทโฟนก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเสมอไป ในประเทศเกาหลีใต้มีงานวิจัยพบว่า มากกว่าร้อยละ 70 ของเด็กอายุราว 12 ปี มีสมาร์ทโฟนเป็นของตนเอง และเด็กส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ใช้เวลาอยู่กับมันมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน และร้อยละ 25 ของเด็กกลุ่มนี้ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเสพติดสมาร์ทโฟน งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งก็ชี้ให้เห็นเช่นกันว่า ครึ่งหนึ่งของผู้ปกครองยอมรับว่าลูกๆของพวกเขามีอาการเสพติดสมาร์ทโฟนและแท็ปเล็ต

ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทำไมถึงต้องมีสมาร์ทโฟนติดตัวตลอด นิตยสารไทม์ได้ทำการวิจัย และพบว่าคนกว่าร้อยละ 74 ไม่สามารถอยู่ห่างมือถือได้เกิน 1 วัน โดยส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้สามารถอยู่ห่างมือถือได้เพียงไม่กีชั่วโมงเท่านั้น ผลจากงานวิจัยอื่นๆก็แสดงให้เห็นไปในทำนองเดียวกันว่า คนจำนวนร้อยละ 64 จะต้องคอยเช็คมือถือทุกๆชั่วโมง

คุณมองเห็นอะไรหรือไม่จากพฤติกรรมเชิงสังคมของคนรุ่นนี้และรุ่นต่อๆไป และคุณคิดว่าการอยู่ห่างมือถือ จะสามารถทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้หรือไม่ งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน

การติดมือถือมีอยู่จริงหรือไม่ และมันจะนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้หรือไม่

การเสพติดโทรศัพท์มีอยู่จริงทั้งยังมีคนคิดศัพท์สำหรับอาการนี้โดยเฉพาะว่า “nomophobia” หรือ “no mobile phone phobia” ใช้กับคนที่รู้สึกวิตกกังวลอย่างมากเมื่อไม่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้

การเสพติดสมาร์ทโฟนไม่ได้พบในกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใหญ่ได้ด้วย จากงานวิจัยพบว่า ผู้ใหญ่มากกว่าร้อยละ 60 รู้สึกว่าการใช้สมาร์ทโฟนส่งผลกับความเชื่อมั่นในตนเอง ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะรู้สึกดีเมื่อมีผลตอบรับทางบวกในโซเชี่ยลมีเดีย (ดูจากสมาร์ทโฟนของตนเอง) แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ได้รับคำชม หรือผลตอบรับในทางที่ดี พวกเขาจะรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ

ความเกี่ยวข้องระหว่างการติดสมาร์ทโฟนและโรคซึมเศร้า

ผลกระทบทางสุขภาพจิตของผู้ที่ติดสมาร์ทโฟนเป็นหัวข้อที่ถูกกล่าวถึงมาบ้างแล้ว และงานวิจัยหลายงานบ่งชี้ว่าการเสพติดสมาร์ทโฟนหรือเทคโนโลยีอย่างหนักนั้น เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลและโรคซึมเศร้า

แม้ว่าจะยังไม่มีการสรุปว่าการใช้สมาร์ทโฟนเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคซึมเศร้านักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัย Northwestern Feinberg ในชิคาโก ได้พบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าและระยะเวลาที่ใช้สมาร์ทโฟน

นักวิจัยได้เฝ้าติดตามกลุ่มตัวอย่างเป็นเวลาสองสัปดาห์ โดยสังเกตจากการใช้โทรศัพท์และข้อมูล GPS พบว่าระดับของอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับปริมาณของเวลาที่ใช้สมาร์ทโฟน ยิ่งใช้เวลามากขึ้นเท่าไหร่ ระดับของอาการซึมเศร้าก็จะมากขึ้นเท่านั้น

ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาของผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนและมีอาการซึมเศร้า คือ 68 นาทีต่อวัน เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าแล้ว พวกเขาใช้เวลากับมือถือเพียงแค่ 17 นาทีต่อวันเท่านั้น โดยรวมแล้วพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนบ่งชี้ถึงอาการซึมเศร้าของแต่ละบุคคลมีความถูกต้องประมาณร้อยละ 87 ตามงานวิจัยดังกล่าว (ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม) ใน Journal of Medical Internet Research.

ผลการสำรวจของงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง พบว่านักเรียนที่มีปัญหาทางสุขภาพจิตอย่างโรคซึมเศร้า จะมีอาการของการเสพติดสมาร์ทโฟน และเด็กที่ติดสมาร์ทโฟนก็มีสัญญาณของการเป็นโรคซึมเศร้าเช่นเดียวกัน จากแบบสอบถาม “ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์และอาการต่างๆได้นาน” พบว่าปัจจัยทางสุขภาพที่ส่งผลต่อการเสพติดสมาร์ทโฟน คือความวิตกกังวล อาการเศร้าโศก และความพะวกพะวง

ความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพจิตและแรงจูงใจที่ทำให้ใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปยังคงมีการวิจัยและศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อหาสาเหตุที่ส่งผลต่อกันและกัน

‘การเสพติดสมาร์ทโฟน’ และ ‘การใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นประจำ’ ต่างกัน

การใช้สมาร์ทโฟนสำหรับการพูดคุยทั่วไปหรือใช้เชื่อมต่อกับคนในโลกออนไลน์ ไม่ได้ทำให้นำไปสู่โรคซึมเศร้าหรือนำไปสู่ภาวะเสพติด ถ้าคุณใช้สมาร์ทโฟนแก้เบื่อหรือเพื่อฆ่าเวลานั้นไม่ส่งผลอันตราย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณหยิบมันมาส่งข้อความรัวๆ หรือเล่นโซเชียลมีเดียตลอดเวลา เพื่อเป็นการคลายความรู้สึกวิตกกังวล หรือเพื่อไม่ให้จมอยู่ในความคิดด้านลบของตนเอง นั่นแปลว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเข้าข่ายภาวะเสพติดสมาร์ทโฟนเข้าแล้ว

การเสพติดเทคโนโลยีสามารถรักษาได้หรือไม่

สามารถรักษาได้ การบำบัดผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมเสพติดสมาร์ทโฟนจะต้องอาศัยแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความต้องการลง เช่น การใช้ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) หรือ การบำบัดความคิดและพฤติกรรม ซึ่งจะช่วยลดพฤติกรรมอย่างเป็นขั้นตอน และช่วยปรับเปลี่ยนทัศนะคติที่ผู้ป่วยมีต่อสมาร์ทโฟนรวมไปถึงอินเตอร์เน็ต โดยผู้ป่วยจะได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการจัดการกับความรู้สึกด้านลบของตนเอง เช่น อาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียด

เป็นไปได้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจมีทั้งภาวะเสพติดและมีปัญหาสุขภาพจิตอย่างโรคซึมเศร้า โดยทั้งสองอาการนี้ต้องได้รับการรักษาพร้อมๆกัน ไม่เช่นนั้นโรคซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ผู้ป่วยกลับมาเสพติดสมาร์ทโฟนหรือเสพติดพฤติกรรมอื่นๆ หรือเสพติดสิ่งมึนเมาอื่นๆก็เป็นได้ เนื่องจากอาการเสพติดสมาร์ทโฟนจัดว่าเป็นอาการเสพติดอย่างหนึ่ง และมีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าอาการเสพติดสามารถควบคุมได้ และผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาก็สามารถหายจากอาหารเสพติดเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน


Recovery Zones รูปแบบการรักษาของ The Cabin ได้ใช้วิธีการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy – CBT) เป็นหลักและถูกออกแบบเพื่อที่จะรักษาภาวะเสพติดสิ่งของหรือพฤติกรรมที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปตลอดชีวิต เช่น การเสพติดอาหาร (Food Addiction) การเสพติดเซ็กส์ (Sex Addiction) หรือการเสพติดอินเตอร์เน็ต (Internet Addiction)

ที่มา